วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

จงสรุปแนวทางในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์

มีอยู่6แนวทาง คือ
       1 ใช้แนวทางสร้างจริยธรรม (Ethic) ในตัวผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศแนวทางนี้มีหลักอยู่ว่าผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ จะระมัดระวังไม่สร้างความเดือดร้อนเสียหายต่อผู้อื่น และในขณะเดียวกันยังตั้งใจที่ทำกิจกรรมจะเสริมสร้างคุณงามความดี และเป็นประโยชน์อยู่เสมอ ในขณะเดียวกันผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ พึงทำการศึกษาหาความรู้ว่ากิจกรรมประเภทใดเป็นสิ่งดีมีประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ และกิจกรรมประเภทใดสามารถสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นได้       2 สร้างความเข้มแข็งให้กับตนเอง ผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศพึงรำลึกอยู่เสมอว่าในสังคมของเราวันนี้ยังมีคนไม่ดีปะปนอยู่มากพอสมควรเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเพียงเครื่องมือที่จะอำนวยความสะดวกเท่านั้น หากผู้ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ในทางที่ไม่ดี เทคโนโลยีก็ส่งเสริมสนับสนุนกิจกรรมที่ไม่ได้ ไม่เป็นที่พึงปรารถนาให้รุนแรงขึ้นได้ การสร้างความเข้มแข็งให้กับตนเอง ไม่ลุ่มหลงต่อกิจกรรมหนึ่งกิจกรรมใดจนมากเกินไป ตลอดจนการคิดไตร่ตรองให้รอบคอบ ถือว่าเป็นข้อปฏิบัติที่จำเป็นในยุคของเทคโนโลยีสารสนเทศนี้      3 ใช้แนวทางการควบคุมสังคมโดยใช้วัฒนธรรมที่ดี แนวทางนี้มีหลักอยู่ว่าวัฒนธรรมที่ดีไว้ เป็นสิ่งจำเป็นในยุคสารสนเทศ ยกตัวอย่างเช่น การให้เกียรติซึ่งกันและกัน ยกย่องในผลงานของผู้อื่น เป็นวัฒนธรรมที่ดีและพึงปฏิบัติในยุคสารสนเทศ ที่ผู้ใช้ข้อมูลสารสนเทศของผู้อื่นพึงให้เกียรติแหล่งข้อมูล ด้วยการอ้างอิงถึง (Citation) เมื่อนำผลงานของผู้อื่นมาใช้ประโยชน์      4 การสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมชุมชน ผู้รับผิดชอบในการจัดการด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและสมาชิกของสังคมพึงตระหนักถึงภัยอันตรายที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีสารสนเทศแหลหาทางป้องกันภัยอันตรายเหล่านั้น ยกตัวอย่างเช่น การติดตั้งระบบเพื่อกลั่นกรองข้อมูลที่ไม่เหมาะสมกับเด็กและเยาวชน การให้ความรู้เรื่องภัยอันตรายจากอินเทอร์เน็ตต่อสังคม การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารภัยอันตรายที่มากับเทคโนโลยีสารสนเทศ ตลอดจนการค้นคว้าวิจัยเพื่อหาความรู้ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ทั้งนี้ก็เพื่อให้สังคมมีความเข้มแข็งและสามารถดำรงอยู่กับเทคโนโลยีได้อย่างยั่งยืน       5 ใช้แนวทางการเข้าสู่มาตรฐานการบริหารจัดการการให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศ ในปัจจุบันองค์กรต่าง ๆ ได้นำเสนอมาตรฐานที่เกี่ยวกับการให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศ ถึงแม้ว่าเจตนาเดิมของมาตรฐานเหล่านี้จะอำนวยประโยชน์ให้กระบวนการด้านการบริหารงาน แต่เนื่องจากมาตรฐานต่าง ๆ เหล่านี้ได้ผ่านการพิจารณาไตร่ตรองอย่างดีจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ส่งผลทำให้แนวทางการเข้าสู่มาตรฐานหลายประการสามารถช่วยลดภัยอันตรายจากเทคโนโลยีสารสนเทศได้ ยกตัวอย่าเช่น มาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยในการประกอบธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ISO/IEC 17799) มีการกำหนดเรื่องความมั่นคงปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับบุคลากร ความมั่นคงปลอดภัยทางด้านกายภาพและสิ่งแวดล้อมขององค์กร การควบคุมการเข้าถึง และการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางด้านกฎหมาย เป็นต้น การศึกษาแนวทางการเข้าสู่มาตรฐานและการนำไปปฏิบัติจะสามารถช่วยลดภัยอันตรายจากเทคโนโลยีได้ในระดับหนึ่ง        6 ใช้แนวทางการบังคับใช้ด้วยกฎ ระเบียบ และกฎหมาย ปัญหาสังคมที่เกิดจากเทคโนโลยีสารสนเทศอาจจะรุนแรง และไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยวิธีการอื่น การกำหนดให้ปฏิบัติตามจะต้องระบุข้อกำหนดทางด้านกฎหมาย และบทลงโทษของการละเมิด เป็นสิ่งจำเป็นผู้บริหารระบบสารสนเทศจะต้องระบุข้อกำหนดทางด้านกฎ ระเบียบ ข้อบังคับบทลงโทษ หรือสัญญา ที่จะต้องปฏิบัติตาม เพื่อป้องกันปัญหาสังคมที่จะมากับเทคโนโลยีสารสนเทศ ยกตัวอย่างเช่น การปฏิบัติตามข้อกำหนดทางลิขสิทธิ์ ในการใช้งานทรัพย์สินทางปัญญา การป้องกันข้อมูลส่วนตัวของพนักงาน เป็นต้น

แบบฝึกหัดที่7


จงบอกมาตราการป้องกันการบุกรุกคอมพิวเตอร์จากนอกเครื่อข่าย

แนวทางหรือมาตรการในการป้องกัน (Security Measures)
1) การกำหนดแนวปฏิบัติ (Procedures) และนโยบายทั่ว ๆ ไปในองค์กร อาทิเช่น
               - องค์กรมีนโยบายหรือมาตรการให้ผู้ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทุกคนต้องเปลี่ยนรหัสผ่าน (Password) บ่อย ๆ หรืออย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
               - มีการกำหนดสิทธิให้ผู้ใช้ระบบเข้าใช้ระบบในส่วนที่จำเป็นเท่านั้น
               - องค์กรอาจมีการนำอุปกรณ์ตรวจจับทางชีวภาพ (Biometric devices) มาใช้ในการควบคุมการเข้าใช้ระบบคอมพิวเตอร์
               - มีการเข้ารหัสข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์
               - มีระเบียบปฏิบัติในการควบคุมอย่างชัดแจ้งในการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
               - ให้ความรู้อย่าสม่ำเสมอในเรื่องการรักษาความปลอดภัย การเตรียมตัวและการป้องกันการบุกรุกของแฮกเกอร์ (Hackers) หรือแครกเกอร์ (Crakers) รวมถึงขั้นตอนการดูแลรักษาระบบคอมพิวเตอร์เมื่อถูกบุกรุก
               - องค์กรควรมีการดูแลและการตรวจตราข้อมูล แฟ้มข้อมูล รวมถึงการสำรองแฟ้มข้อมูลและระบบคอมพิวเตอร์รวมถึงระบบเครือข่าวอย่างสม่ำเสมอ
               - การเก็บข้อมูลหรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระบบคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา(Log files)
2. การป้องกันโดยซอฟต์แวร์ (Virus protection software)
    ปัจจุบันมีซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสหลายชนิด ทั้งแบบซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์และซอฟต์แวร์ที่แจกฟรี อาทิเช่น
     - ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Digital signatures)
     - การเข้าและถอดรหัส (Encryption)

ฟิชชิ่ง (Phishing)

วิธีป้องกันและแนวทางรับมือกับ Phishing มีดังนี้
ระวังอีเมล์ที่มีลักษณะในการข้อให้ท่านกรอกข้อมูลส่วนตัวใด ๆ หรือยืนยันข้อมูลส่วนตัวใด ๆ โดยส่วนใหญ่เนื้อหาในจดหมายจะระบุว่าเป็นจดหมายเร่งด่วน ให้ดำเนินการกรอกข้อมูลส่วนตัวบางอย่าง หากพบอีกเมล์ลักษณะดังกล่าวให้ลบอีกเมล์ดังกล่าวทันที และอาจใช้การโทรศัพท์ติดต่อกับทางองค์กร บริษัทห้างร้านด้วยตนเองอีกทีหากมีข้อสงสัย
หากต้องการทำธุรกรรมใด ๆ ควรไปที่ websie โดยตรงโดยการพิมพ์ URL ใหม่
ไม่ควรคลิกที่ hyperlink ใด ๆ หรือรันไฟล์ใด ๆ ที่มากับอีกเมล์ หรือโปรแกรมสนทนาต่าง ๆ จากบุคคลที่ไม่รู้จัก

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

แบบฝึกหัดบทที่6

นิสิตใช้ social sofr ware ใดบ้างในชีวิตประจำวันและใช้เพื่อ

วัตถุประสงค์ใด

1. Facebook ใช้ติดต่อสื่อสารกับเพื่อน เป็นกลุ่มความรู้ขนาดย่อย เเละใช้ส่งงาน ต่างๆ ใช้เก็บข้อมูลบางอย่าง

2. Youtube.com ใช้ฟังเพลง ดูสื่อความรู้ต่างๆ


3. Google.com ใช้หาข้อมูลความรู้ต่างๆเพื่อนำมาใช้กับการเรียน

4. sanook.com ใช้ในการอัพเดทข้อมูล ข่าวสาร เช่น ข่าวประจำวัน


วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557

แบบฝกหัดบทที่5

จงอธิบายกระบวนการการจัดการสารสนเทศ
1. ความหมายการจัดการสารสนเทศ
การจัดการสารสนเทศ หมายถึง การทำกิจกรรมหลัก ต่างๆ ในการจัดหา การจัดโครงสร้าง (organization) การควบคุม ผลิต การเผยแพร่และการใช้สารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานขององค์การทุกประเภทอย่างมีประสิทธิผล
2. ความสำคัญของการจัดการสารสนเทศ
การจัดการสารสนเทศในสภาวะที่สังคมมีสารสนเทศเกิดขึ้นมากมาย ในลักษณะสารสนเทศท่วมท้นการจัดการสารสนเทศ โดยจัดเป็นระบบสารสนเทศต่างๆ เพื่อการใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการ เป็นความจำเป็นและมีความสำคัญทั้งต่อ2. ความสำคัญของการจัดการสารสนเทศ
การจัดการสารสนเทศในสภาวะที่สังคมมีสารสนเทศเกิดขึ้นมากมาย ในลักษณะสารสนเทศท่วมท้นการจัดการสารสนเทศ โดยจัดเป็นระบบสารสนเทศต่างๆ เพื่อการใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการ
2.1 ความสำคัญของการจัดการสารสนเทศต่อบุคคล
2.2 ความสำคัญของการจัดการสารสนเทศต่อองค์การ
1) ความสำคัญด้านการบริหารจัดการ การบริหารจัดการในยุคโลกาภิวัตน์เป็นการบริหารภายใต้สภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมีการแข่งขันกันทางธุรกิจสูง ผู้บริหารต้องอาศัยสารสนเทศที่เกี่ยวข้องทั้งกับสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกองค์การ เพื่อวิเคราะห์ปัญหา ทางเลือกในการแก้ปัญหา การตัดสินใจ การกำหนดทิศทางขององค์การ ให้สามารถแข่งขันกับองค์การคู่แข่งต่างๆ จึงจำเป็นต้องได้รับสารสนเทศ ที่เหมาะสม ถูกต้อง ครบถ้วน ทันการณ์ และทันสมัย เพื่อใช้ประกอบภารกิจตามหน้าที่ ตามระดับการบริหาร การจัดการสารสนเทศจึงนับว่ามีความสำคัญ ความจำเป็นที่ต้องมีการออกแบบระบบการจัดการสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพ
2) ความสำคัญด้านการดำเนินงาน สารสนเทศนับมีความสำคัญต่อการดำเนินงานในหลายลักษณะ เป็นทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัวในการดำเนินงาน และหลักฐานที่บันทึกการดำเนินงานในด้านต่างๆ ตามที่หน่วยงานดำเนินการ การจัดการสารสนเทศช่วยให้การใช้สารสนเทศเพื่อรองรับการปฏิบัติงานตามกระแสงานหรือขั้นตอน จึงสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัวในการดำเนินงาน เอื้อให้เข้าถึงและใช้สารสนเทศได้อย่างสะดวก
3) ความสำคัญด้านกฎหมาย การจัดการสารสนเทศเพื่อการดำเนินงาน จำเป็นต้องสอดคล้องกับกฎหมาย กฎ ระเบียบและข้อบังคับทั้งในระดับภายในและภายนอกองค์การ โดยเฉพาะสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับการเงินและบัญชีที่ต้องรวบรวมจัดเก็บอย่างต่อเนื่อง เป็นระบบ รวมทั้งมีการตรวจสอบความถูกต้องทั้งจากหน่วยงานภายในองค์การ หรือจากหน่วยงานภายนอกตามกฎหมาย 
3. พัฒนาการของการจัดการสารสนเทศ คือการประยุกต์ด้านการปฏิบัติงานเพื่อการจัดการสารสนเทศ และการจัดการสารสนเทศก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ได้กระทำมาเป็นระยะเวลายาวนานนับแต่รู้จักคิดค้นการขีดเขียน บันทึกข้อมูล การจัดการสารสนเทศโดยทั่วไป แบ่งอย่างกว้างๆได้เป็น 2 ยุคคือ
3.1 การจัดการสารสนเทศด้วยระบบมือ
3.2 การจัดการสารสนเทศโดยใช้คอมพิวเตอร์
4. แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการสารสนเทศ
การจัดการสารสนเทศ (information management) ในอดีตมักมุ่งที่การจัดเก็บสารสนเทศเพื่อการเรียกใช้อย่างง่าย เป็นการจัดเก็บจัดเรียงตามประเภทสื่อที่ใช้บันทึก หรือตามขนาดใหญ่เล็กของเอกสาร รูปเล่มหนังสือเป็นต้น 
4.1 ขอบเขตของการจัดการสารสนเทศ
เป็นการใช้หลักของการจัดการเพื่อการจัดหา การจัดโครงสร้างการควบคุม การเผยแพร่และการใช้สารสนเทศดำเนินงานตามขั้นตอนหรือกระบวนการที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจัยสำคัญของการจัดการสารสนเทศ ดังนี้
-การรวบรวมสารสนเทศ (collecting)
-การจัดหมวดหมู่ (organizing)
- การประมวลผล (processing)
- การบำรุงรักษา (maintaining)
ปัจจัยสำคัญของการจัดการสารสนเทศ ในการจัดการสารสนเทศ ยังต้องคำนึงถึงปัจจัยสำคัญ 4ด้าน คือ 
- เทคโนโลยี มุ่งเน้นเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นปัจจัยสำคัญในการจัดการด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์เพื่อการประยุกต์ในงานต่างๆ
- คน ในฐานะองค์ประกอบของทุกหน่วยงาน เป็นปัจจัยสำคัญในการจัดการสารสนเทศ ครอบคลุมทั้งผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารสนเทศ การจัดการสารสนเทศ จึงควรสร้างวัฒนธรรมหรือ ค่านิยมของคนในการใช้สารสนเทศเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
- กระบวนการ เป็นปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐาน แนวปฏิบัติ วิธีการที่ใช้ในการจัดการสารสนเทศ เช่น นโยบายการจัดการสารสนเทศ ระบบแฟ้มและดรรชนีควบคุมสารสนเทศ แผนการกู้สารสนเทศเมื่อประสบปัญหา เป็นต้น - การบริหารจัดการ เป็นปัจจัยสำคัญของการจัดการสารสนเทศที่ดีและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการจัดการในระดับกลยุทธ์ ในการจัดการสารสนเทศจำเป็นต้องเข้าใจถึงภารกิจและวัตถุประสงค์ของหน่วยงาน จึงจะสามารถพัฒนาระบบให้สอดคล้องและสนับสนุนภารกิจนั้นได้ โดยต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูงอย่างจริงจัง
5. การจัดการสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
การจัดการสารสนเทศ หมายถึง การนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ เช่น ระบบจัดการเนื้อหาหรือเอกสาร ระบบคลังข้อมูล ระบบเว็บไซด์ท่า โครงการเหล่านี้น้อยรายที่จะประสบความสำเร็จ การสร้างการจัดการสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มีหลายประเด็นต้องคำนึงถึง เช่น การเชื่อมต่อระบบต่างๆ เข้าด้วยกัน ความต้องการทางธุรกิจที่หลากหลาย รวมถึงความซับซ้อนของโครงสร้างและวัฒนธรรมองค์กร ปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จของโครงการการจัดการสารสนเทศ ต้องมีแบบแผนและหลักการที่สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการวางแผนและพัฒนาระบบได้
ในเชิงเทคโนโลยีการจัดการสารสนเทศ ประกอบด้วยระบบต่างๆ (ศักดา, 2550) ดังต่อไปนี้
· การ จัดการ เนื้อหาใน เว็บไซต์ (web content management - CM) 
· การจัดการเอกสาร (document management - DM) 
· การจัดการด้านการจัดเก็บบันทึก (records management - RM) 
· โปรแกรมจัดการทรัพย์สินดิจิทัล (digital asset management - DAM) 
· ระบบการจัดการเรียนการสอน (learning management systems - LM) 
· ระบบการจัดเนื้อหาการสอน (learning content management systems - LCM) 
· ความร่วมมือ (collaboration ) 
· การค้นคืนสารสนเทศในองค์กร ( enterprise search)

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2557

แอสต้าแซนทิน (Astaxanthin)

แอสต้าแซนทิน (Astaxanthin)

           แอสต้าแซนทิน เป็นสารอาหารที่จัดอยู่ในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) เป็นสารอาหารที่โด่งดังด้วยผลวิจัยทางการแพทย์มากมาย เนื่องด้วยสูตรโครงสร้างที่เป็นเอกลักษณ์ของ แอสตาแซนธิน ในการปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์ในอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งแตกต่างกับ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และ สารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่น ที่แค่ช่วยปกป้องแค่ภายในหรือภายนอกของเยื่อหุ้มเซลล์ พบว่า แอสตาแซนธิน มีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์ได้ทั้งภายในและภายนอก ดังนั้น จึงเหมือนกับว่าแอสตาแซนตินสามารถปกป้องเซลล์ได้ครอบคลุมมากกว่า
คุณสมบัติพิเศษของแอสตาแซนทิน คือ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง และจัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระกับสารอาหารชนิดต่างๆ ดังนี้
  • มากกว่าวิตามินอี แอลฟา โทโคฟีรอล 550 เท่า
  • มากกว่าเบต้า แคโรทีน 40 เท่า
  • มากว่าเมล็ดองุ่นสกัด 17 เท่า
  • มากกว่าวิตามินซี 6000 เท่า
  • มากกว่า โคเอนไซม์คิวเท็น 800 เท่า
  • มากกว่าสารในชาเขียว 550 เท่า
  • มากกว่า แอลฟา ไลโปอิก เอซิด 75 เท่า
           แอสต้าแซนทิน ยังมีคุณสมบัติในการปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์จากการทำลาย ของอนุมูลอิสระ ปกป้อง DNA หรือสารพันธุกรรมในเซลล์จากการถูกทำลาย ซึ่งป้องกันการกลายพันธุ์ของเซลล์ เป็นการป้องกันมะเร็งได้ ป้องกันเซลล์ผิวจากการถูกทำลายโดยแสงแดด และมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นระบบภูมิต้านทาน แอสตาแซนทินสามารถใช้ร่วมกับสารสกัดเมล็ดองุ่นในการป้องกันเส้นเลือดเสื่อม และเส้นเลือดขอดได้เป็นอย่างดี
    ประโยชน์ของแอสต้าแซนทิน
    • ป้องกัน และฟื้นฟูจอตาที่เสื่อม ซึ่งพบมากในผู้สูงอายุ และ ผู้ป่วยเบาหวาน ซึ่งจอประสาทตาจะเป็นจุดรับภาพของลูกตา ช่วยยับยั้งการสะสมของกรดในดวงตา อันเป็นสาเหตุให้ดวงตาอ่อนล้า ช่วยป้องกันดวงตาจากรังสีอัลตร้าไวโอเลต
    • ป้องกันการเสื่อมของไต และหลอดเลือดในผู้ป่วยเบาหวาน
    • ป้องกัน และบำบัดในผู้ป่วยความจำเสื่อม และพาร์กินสัน
    • ปรับสมดุลของโคเลสเตอรอล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง LDL ซึ่งเป็นโคเลสเตอรอลตัวร้าย ช่วยให้ผนังหลอดเลือดยืดหยุ่นมากขึ้น ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ควรใช้ร่วมกับสารสกัดจากเมล็ดองุ่น
    • ลดภาวะอักเสบในร่างกาย ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยภูมิแพ้ตัวเอง ภูมิต้านทานต่ำ และการติดเชื้อไวรัสเรื้อรัง เช่น กลุ่มผู้ป่วย AIDS ผู้ติดเชื้อไวรัสงูสวัด และเริม
    • ทำให้สเปิร์มแข็งแรงขึ้น
    • ทำให้กล้ามเนื้อและข้อต่อมีสุขภาพดีขึ้น ช่วยให้กล้ามเนื้อมีความทนทานมากขึ้น
    • ปกป้องโครงสร้างผิวจากการถูกทำลายโดยแสงแดดและรังสีอัลตราไวโอเลต ช่วย กระชับรูขุมขน ลดเลือนริ้วรอย
    • ปรับสมดุลความดันโลหิตและการเต้นของหัวใจ
    • ช่วยบรรเทาอาการต่อมลูกหมากอักเสบหรือต่อมลูกหมากโต และมะเร็งต่อมลูก หมาก
    • ช่วยการซ่อมแซม และฟื้นฟูเซลล์สมองและหลอดเลือดในผู้ป่วยเส้นเลือดในสมองแตก หรือผู้ป่วยที่ขาดออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง

      แหล่งที่พบแอสตาแซนทิน ในธรรมชาติ พบได้ในปลาทะเล และสาหร่ายทะเลสีแดงสายพันธุ์ Haematococcus Pluvialis และสัตว์ทะเลบางชนิด เช่น ปลาแซลมอน ปลาเทราน์ กุ้ง และกุ้งลอปสเตอร์ แอสตาแซนทินเป็นสารสีแดงที่พบในปลาแซลมอน ไข่ปลาคาเวียร์ เปลือกกุ้ง-ปู ร่างกายไม่สามารถสร้างสารชนิดนี้ได้ เราจะได้รับสารชนิดนี้จากอาหารที่รับประทานเข้าไปในปริมาณที่น้อยมาก เช่น ปลาแซลมอน 200 กรัม จะมีแอสตาแซนทิน เพียง 1 มิลลิกรัมแอสตาแซนทิน เป็นส่วนหนึ่งในอาหารของมนุษย์มายาวนานหลายพันปี มีความปลอดภัยสูง มีการทดลองทางคลินิก โดยให้ผู้เข้าร่วมการทดลองรับประทานอาหารที่ผลิตจาก Microalgae (สาหร่ายขนาดเล็ก) ที่อุดมไปด้วยแอสตาแซนทิน 40 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นเวลา 4 สัปดาห์ติดต่อกัน โดยไม่พบผลข้างเคียงใดๆ และจากการ ทดสอบ Full Acute & Sub Chronic, Ames Test & Gene Toxicity และการค้น หาเอกสารทางวิชาการทั่วโลกนั้นไม่พบรายงานที่มีผลข้างเคียงในทางลบ และจากข้อมูล มีการนำสาหร่ายทะเลสีแดงสายพันธุ์ Haematococcus Pluvialis ซึ่งมีสารแอสตาแซนธิน (Astaxanthin) อยู่เป็นจำนวนมาก นำมาสกัดเป็นอาหารเสริมและได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในพื้นที่แถบสแกนดิเนเวีย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995 และสารแอสตาแซนธิน (Astaxanthin) มีการวางจำหน่ายอย่างแพร่หลายในตลาดตั้งแต่ปีค.ศ.1999 จนถึงปัจจุบัน

วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ว่าด้วยเรื่องของโปรตีน

จัดหนักโปรตีน แต่ทำไมน้ำหนักไม่ลด? สงสัยคนอย่างเราจะลดน้ำหนักไม่ได้ซะแล้ว!
โปรตีนสำคัญกับร่างกายมากแค่ไหน? ทำไมหลายๆ คนชอบบอกว่าเน้นโปรตีน จัดหนักโปรตีน ลดคาร์บ (ซึ่งคำว่าลดของบางคนนี้แทบจะเรียกว่าไม่ได้กินเลยจะดีกว่า)
การทานอาหารอย่างมีดุลยภาพนั้น คือ การทานคาร์โบไฮเดรตประมาณ 60-65% (เพื่อรักษาระดับไกลโคเจนในกล้ามเนื้อและในตับเอาไว้ไม่ให้พร่อง) โปรตีนจะอยู่ที่ประมาณ 30-35 % ไขมันนั้นพอประมาณ ตรงนี้เป็นพื้นฐาน แต่ปริมาณสัดส่วนแต่ละอย่างจะเพิ่มหรือลดนั้นขึ้นอยู่กับการฝึก
ส่วนที่เหลือก็เป็นพวกผักผลไม้ และนี้คือทางสายกลางในเรื่องอาหารการกิน เพราะถ้าเรากินโปรตีนมากกว่าคาร์บ ง่ายๆ คือ กินแบบขาดความสมดุล นอกจากร่างกายไม่สามารถใช้ “โปรตีน” ให้เป็นประโยชน์ได้หมดแล้ว ยังก่อให้เกิดสารพิษในร่างกายจากการกินโปรตีนมากเกินไปอีก
ง่ายๆ คือ หากฝึกไม่หนักโปรตีนจะอยู่ที่ 0.5 หรือ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัวเท่านั้น
การเน้นโปรตีนมากเกินความจำเป็นในแต่ละมื้อ ส่งผลให้ร่างกายจำเป็นต้องสลายโปรตีนไปเป็นกรดยูริกและกรดยูเรียไปออกทางฉี่ จึงกลายเป็นว่าโปรตีนที่มากเกินไปในแต่ละมื้อกลายเป็นขยะแทน แย่ไปกว่านั้น คือ ยังไปเพิ่มภาระให้แก่ระบบกำจัดของเสียและระบบขับถ่ายในร่างกายอีกด้วย
ผลที่ได้รับ คือ ร่างกายจะเข้าสู้สภาวะขาดน้ำ (dehydration) ค่ะ อีกอย่างหากเราเหลักเลี่ยงคาร์บมากเกินร่างกายก็จะสูญเสียน้ำและไม่กักเก็บน้ำไว้
วิธีที่ถูกต้อง
1. กินอาหารอาหารที่มีไขมัน (ดี) พอสมควรไม่ให้ขาด เพราะการไม่กินไขมันเลยจะทำให้ร่างกายขาดไขมันและวิตามินบางชนิดไป รวมทั้งร่างกายจำเป็นต้องอาศัยไขมันในการสร้างฮอร์โมนประเภทอะเเนบบะลึซึม ซึ่งช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย ฉะนั้นแล้วควรเลือกทานไขมันที่ดีต่อร่างกายทานให้สม่ำเสมอ
2. โปรตีน ไขมัน และคาร์บ ต่างก็เป็นโภชนาการที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ทว่าให้พลังงานแก่ร่างกายไม่ใช่หน้าที่หลักของโปรตีน เพราะโปรตีนจะมีหน้าที่หลักคือ ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและสร้างสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย โดยปกติแล้วร่างกายเราให้พลังงานที่ได้รับจากโปรตีนเพียงแค่ 3% เท่านั้น ส่วนทีใช้มากที่สุดคือ พลังงานได้จากคาร์บ เพราะในบรรดาพลังงานทั้งหมดที่ร่างกายนำไม่ใช้ในกระบวนการเมแทบบะลิซึม ส่วนมากเป็นพลังงานจากคาร์บถึงประมาณ 60% นั้นเป็นสาเหตุว่าที่น้ำลดคงที่ เพราะระบบการเผาผลาญตกนั่นเอง ส่วนไขมันจะอยู่ช่วง 15-30%

ที่มา : MuscleDom โลกเพาะกาย 5
เรียบเรียงโดย : @Pleng Tanadchang

วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2557

แบบฝึกหัดบทที่4

แบบฝึกหัดบทที่ 4

1.      ให้นิสิตยกตัวอย่างอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศตามหัวข้อต่อไปนี้ อย่างน้อยหัวข้อละ 3 ชนิด แล้วแลกเปลี่ยนกันตรวจสอบกับเพื่อน
1)      การบันทึกและจัดเก็บข้อมูล      
                CD / แฟลตไดร์ฟ / ฮาร์ดดิสค์      
2)      การแสดงผล
                จอมอนิเตอร์ / โปรเจ๊กเตอร์ / เครื่องพิมพ์
3)      การประมวลผล        
                 CPU / RAM / ROM       
4)      การสื่อสารและเครือข่าย
                              โทรทัศน์ / วิทยุ / เครือข่ายดาวเทียม           
    
2.       ให้นิสิตนำตัวเลขในช่องขวา มาเติมหน้าข้อความในช่องซ้ายที่มีความที่สัมพันธ์กัน

…1… ซอฟต์แวร์ประยุกต์
1. ส่วนใหญ่ใช้ทำหน้าที่คำนวณ ประมวลผลข้อมูล
…3… Information Technology
2. e-Revenue
…10… คอมพิวเตอร์ในยุคประมวลผลข้อมูล
3. เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่นำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินการเกี่ยวกับสารสนเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความถูกต้องแม่นยำ และความรวดเร็วต่อการนำไปใช้
…4…เทคโนโลยีสารสนเทศ ประกอบด้วย
4.มีองค์ประกอบพื้นฐาน 3 ส่วน ได้แก่ Sender Medium และDecoder
…8…ช่วยเพิ่มผลผลิต เพิ่มต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการททำงาน
5. การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการรับ-ส่งเอกสารจากหน่วยงานหนึ่งไปยังอีกหน่วยงานหนึ่งโดยส่งผ่านเครือข่าย
…7… ซอฟต์แวร์ระบบ
6. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคม และเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
…9… การนำเสนอบทเรียนในรูปมัลติมีเดีย ที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ตามระดับความสามารถ
7. โปรแกรมที่ทำหน้าที่ใช้ควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ภายในระบบคอมพิวเตอร์
…5… EDI
8. โปรแกรมระบบห้องสมุดอัตโนมัติ จัดเป็นซอฟต์แวร์ประเภท
…6… การสื่อสารโทรคมนาคม
9. CAI
…2…บริการชำระภาษีออนไลน์
10. ลักษณะสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ