จงอธิบายกระบวนการการจัดการสารสนเทศ
1. ความหมายการจัดการสารสนเทศ
การจัดการสารสนเทศ หมายถึง การทำกิจกรรมหลัก ต่างๆ ในการจัดหา การจัดโครงสร้าง (organization) การควบคุม ผลิต การเผยแพร่และการใช้สารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานขององค์การทุกประเภทอย่างมีประสิทธิผล
2. ความสำคัญของการจัดการสารสนเทศ
การจัดการสารสนเทศในสภาวะที่สังคมมีสารสนเทศเกิดขึ้นมากมาย ในลักษณะสารสนเทศท่วมท้นการจัดการสารสนเทศ โดยจัดเป็นระบบสารสนเทศต่างๆ เพื่อการใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการ เป็นความจำเป็นและมีความสำคัญทั้งต่อ2. ความสำคัญของการจัดการสารสนเทศ
การจัดการสารสนเทศในสภาวะที่สังคมมีสารสนเทศเกิดขึ้นมากมาย ในลักษณะสารสนเทศท่วมท้นการจัดการสารสนเทศ โดยจัดเป็นระบบสารสนเทศต่างๆ เพื่อการใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการ
2.1 ความสำคัญของการจัดการสารสนเทศต่อบุคคล
2.2 ความสำคัญของการจัดการสารสนเทศต่อองค์การ
1) ความสำคัญด้านการบริหารจัดการ การบริหารจัดการในยุคโลกาภิวัตน์เป็นการบริหารภายใต้สภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมีการแข่งขันกันทางธุรกิจสูง ผู้บริหารต้องอาศัยสารสนเทศที่เกี่ยวข้องทั้งกับสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกองค์การ เพื่อวิเคราะห์ปัญหา ทางเลือกในการแก้ปัญหา การตัดสินใจ การกำหนดทิศทางขององค์การ ให้สามารถแข่งขันกับองค์การคู่แข่งต่างๆ จึงจำเป็นต้องได้รับสารสนเทศ ที่เหมาะสม ถูกต้อง ครบถ้วน ทันการณ์ และทันสมัย เพื่อใช้ประกอบภารกิจตามหน้าที่ ตามระดับการบริหาร การจัดการสารสนเทศจึงนับว่ามีความสำคัญ ความจำเป็นที่ต้องมีการออกแบบระบบการจัดการสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพ
2) ความสำคัญด้านการดำเนินงาน สารสนเทศนับมีความสำคัญต่อการดำเนินงานในหลายลักษณะ เป็นทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัวในการดำเนินงาน และหลักฐานที่บันทึกการดำเนินงานในด้านต่างๆ ตามที่หน่วยงานดำเนินการ การจัดการสารสนเทศช่วยให้การใช้สารสนเทศเพื่อรองรับการปฏิบัติงานตามกระแสงานหรือขั้นตอน จึงสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัวในการดำเนินงาน เอื้อให้เข้าถึงและใช้สารสนเทศได้อย่างสะดวก
3) ความสำคัญด้านกฎหมาย การจัดการสารสนเทศเพื่อการดำเนินงาน จำเป็นต้องสอดคล้องกับกฎหมาย กฎ ระเบียบและข้อบังคับทั้งในระดับภายในและภายนอกองค์การ โดยเฉพาะสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับการเงินและบัญชีที่ต้องรวบรวมจัดเก็บอย่างต่อเนื่อง เป็นระบบ รวมทั้งมีการตรวจสอบความถูกต้องทั้งจากหน่วยงานภายในองค์การ หรือจากหน่วยงานภายนอกตามกฎหมาย
3. พัฒนาการของการจัดการสารสนเทศ คือการประยุกต์ด้านการปฏิบัติงานเพื่อการจัดการสารสนเทศ และการจัดการสารสนเทศก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ได้กระทำมาเป็นระยะเวลายาวนานนับแต่รู้จักคิดค้นการขีดเขียน บันทึกข้อมูล การจัดการสารสนเทศโดยทั่วไป แบ่งอย่างกว้างๆได้เป็น 2 ยุคคือ
3.1 การจัดการสารสนเทศด้วยระบบมือ
3.2 การจัดการสารสนเทศโดยใช้คอมพิวเตอร์
4. แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการสารสนเทศ
การจัดการสารสนเทศ (information management) ในอดีตมักมุ่งที่การจัดเก็บสารสนเทศเพื่อการเรียกใช้อย่างง่าย เป็นการจัดเก็บจัดเรียงตามประเภทสื่อที่ใช้บันทึก หรือตามขนาดใหญ่เล็กของเอกสาร รูปเล่มหนังสือเป็นต้น
4.1 ขอบเขตของการจัดการสารสนเทศ
เป็นการใช้หลักของการจัดการเพื่อการจัดหา การจัดโครงสร้างการควบคุม การเผยแพร่และการใช้สารสนเทศดำเนินงานตามขั้นตอนหรือกระบวนการที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจัยสำคัญของการจัดการสารสนเทศ ดังนี้
-การรวบรวมสารสนเทศ (collecting)
-การจัดหมวดหมู่ (organizing)
- การประมวลผล (processing)
- การบำรุงรักษา (maintaining)
ปัจจัยสำคัญของการจัดการสารสนเทศ ในการจัดการสารสนเทศ ยังต้องคำนึงถึงปัจจัยสำคัญ 4ด้าน คือ
- เทคโนโลยี มุ่งเน้นเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นปัจจัยสำคัญในการจัดการด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์เพื่อการประยุกต์ในงานต่างๆ
- คน ในฐานะองค์ประกอบของทุกหน่วยงาน เป็นปัจจัยสำคัญในการจัดการสารสนเทศ ครอบคลุมทั้งผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารสนเทศ การจัดการสารสนเทศ จึงควรสร้างวัฒนธรรมหรือ ค่านิยมของคนในการใช้สารสนเทศเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
- กระบวนการ เป็นปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐาน แนวปฏิบัติ วิธีการที่ใช้ในการจัดการสารสนเทศ เช่น นโยบายการจัดการสารสนเทศ ระบบแฟ้มและดรรชนีควบคุมสารสนเทศ แผนการกู้สารสนเทศเมื่อประสบปัญหา เป็นต้น - การบริหารจัดการ เป็นปัจจัยสำคัญของการจัดการสารสนเทศที่ดีและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการจัดการในระดับกลยุทธ์ ในการจัดการสารสนเทศจำเป็นต้องเข้าใจถึงภารกิจและวัตถุประสงค์ของหน่วยงาน จึงจะสามารถพัฒนาระบบให้สอดคล้องและสนับสนุนภารกิจนั้นได้ โดยต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูงอย่างจริงจัง
5. การจัดการสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
การจัดการสารสนเทศ หมายถึง การนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ เช่น ระบบจัดการเนื้อหาหรือเอกสาร ระบบคลังข้อมูล ระบบเว็บไซด์ท่า โครงการเหล่านี้น้อยรายที่จะประสบความสำเร็จ การสร้างการจัดการสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มีหลายประเด็นต้องคำนึงถึง เช่น การเชื่อมต่อระบบต่างๆ เข้าด้วยกัน ความต้องการทางธุรกิจที่หลากหลาย รวมถึงความซับซ้อนของโครงสร้างและวัฒนธรรมองค์กร ปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จของโครงการการจัดการสารสนเทศ ต้องมีแบบแผนและหลักการที่สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการวางแผนและพัฒนาระบบได้
ในเชิงเทคโนโลยีการจัดการสารสนเทศ ประกอบด้วยระบบต่างๆ (ศักดา, 2550) ดังต่อไปนี้
· การ จัดการ เนื้อหาใน เว็บไซต์ (web content management - CM)
· การจัดการเอกสาร (document management - DM)
· การจัดการด้านการจัดเก็บบันทึก (records management - RM)
· โปรแกรมจัดการทรัพย์สินดิจิทัล (digital asset management - DAM)
· ระบบการจัดการเรียนการสอน (learning management systems - LM)
· ระบบการจัดเนื้อหาการสอน (learning content management systems - LCM)
· ความร่วมมือ (collaboration )
· การค้นคืนสารสนเทศในองค์กร ( enterprise search)
วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557
วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2557
แอสต้าแซนทิน (Astaxanthin)
แอสต้าแซนทิน (Astaxanthin)
แอสต้าแซนทิน เป็นสารอาหารที่จัดอยู่ในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) เป็นสารอาหารที่โด่งดังด้วยผลวิจัยทางการแพทย์มากมาย เนื่องด้วยสูตรโครงสร้างที่เป็นเอกลักษณ์ของ แอสตาแซนธิน ในการปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์ในอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งแตกต่างกับ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และ สารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่น ที่แค่ช่วยปกป้องแค่ภายในหรือภายนอกของเยื่อหุ้มเซลล์ พบว่า แอสตาแซนธิน มีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์ได้ทั้งภายในและภายนอก ดังนั้น จึงเหมือนกับว่าแอสตาแซนตินสามารถปกป้องเซลล์ได้ครอบคลุมมากกว่า
คุณสมบัติพิเศษของแอสตาแซนทิน คือ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง และจัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระกับสารอาหารชนิดต่างๆ ดังนี้
- มากกว่าวิตามินอี แอลฟา โทโคฟีรอล 550 เท่า
- มากกว่าเบต้า แคโรทีน 40 เท่า
- มากว่าเมล็ดองุ่นสกัด 17 เท่า
- มากกว่าวิตามินซี 6000 เท่า
- มากกว่า โคเอนไซม์คิวเท็น 800 เท่า
- มากกว่าสารในชาเขียว 550 เท่า
- มากกว่า แอลฟา ไลโปอิก เอซิด 75 เท่าแอสต้าแซนทิน ยังมีคุณสมบัติในการปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์จากการทำลาย ของอนุมูลอิสระ ปกป้อง DNA หรือสารพันธุกรรมในเซลล์จากการถูกทำลาย ซึ่งป้องกันการกลายพันธุ์ของเซลล์ เป็นการป้องกันมะเร็งได้ ป้องกันเซลล์ผิวจากการถูกทำลายโดยแสงแดด และมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นระบบภูมิต้านทาน แอสตาแซนทินสามารถใช้ร่วมกับสารสกัดเมล็ดองุ่นในการป้องกันเส้นเลือดเสื่อม และเส้นเลือดขอดได้เป็นอย่างดีประโยชน์ของแอสต้าแซนทิน
- ป้องกัน และฟื้นฟูจอตาที่เสื่อม ซึ่งพบมากในผู้สูงอายุ และ ผู้ป่วยเบาหวาน ซึ่งจอประสาทตาจะเป็นจุดรับภาพของลูกตา ช่วยยับยั้งการสะสมของกรดในดวงตา อันเป็นสาเหตุให้ดวงตาอ่อนล้า ช่วยป้องกันดวงตาจากรังสีอัลตร้าไวโอเลต
- ป้องกันการเสื่อมของไต และหลอดเลือดในผู้ป่วยเบาหวาน
- ป้องกัน และบำบัดในผู้ป่วยความจำเสื่อม และพาร์กินสัน
- ปรับสมดุลของโคเลสเตอรอล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง LDL ซึ่งเป็นโคเลสเตอรอลตัวร้าย ช่วยให้ผนังหลอดเลือดยืดหยุ่นมากขึ้น ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ควรใช้ร่วมกับสารสกัดจากเมล็ดองุ่น
- ลดภาวะอักเสบในร่างกาย ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยภูมิแพ้ตัวเอง ภูมิต้านทานต่ำ และการติดเชื้อไวรัสเรื้อรัง เช่น กลุ่มผู้ป่วย AIDS ผู้ติดเชื้อไวรัสงูสวัด และเริม
- ทำให้สเปิร์มแข็งแรงขึ้น
- ทำให้กล้ามเนื้อและข้อต่อมีสุขภาพดีขึ้น ช่วยให้กล้ามเนื้อมีความทนทานมากขึ้น
- ปกป้องโครงสร้างผิวจากการถูกทำลายโดยแสงแดดและรังสีอัลตราไวโอเลต ช่วย กระชับรูขุมขน ลดเลือนริ้วรอย
- ปรับสมดุลความดันโลหิตและการเต้นของหัวใจ
- ช่วยบรรเทาอาการต่อมลูกหมากอักเสบหรือต่อมลูกหมากโต และมะเร็งต่อมลูก หมาก
- ช่วยการซ่อมแซม และฟื้นฟูเซลล์สมองและหลอดเลือดในผู้ป่วยเส้นเลือดในสมองแตก หรือผู้ป่วยที่ขาดออกซิเจนไปเลี้ยงสมองแหล่งที่พบแอสตาแซนทิน ในธรรมชาติ พบได้ในปลาทะเล และสาหร่ายทะเลสีแดงสายพันธุ์ Haematococcus Pluvialis และสัตว์ทะเลบางชนิด เช่น ปลาแซลมอน ปลาเทราน์ กุ้ง และกุ้งลอปสเตอร์ แอสตาแซนทินเป็นสารสีแดงที่พบในปลาแซลมอน ไข่ปลาคาเวียร์ เปลือกกุ้ง-ปู ร่างกายไม่สามารถสร้างสารชนิดนี้ได้ เราจะได้รับสารชนิดนี้จากอาหารที่รับประทานเข้าไปในปริมาณที่น้อยมาก เช่น ปลาแซลมอน 200 กรัม จะมีแอสตาแซนทิน เพียง 1 มิลลิกรัมแอสตาแซนทิน เป็นส่วนหนึ่งในอาหารของมนุษย์มายาวนานหลายพันปี มีความปลอดภัยสูง มีการทดลองทางคลินิก โดยให้ผู้เข้าร่วมการทดลองรับประทานอาหารที่ผลิตจาก Microalgae (สาหร่ายขนาดเล็ก) ที่อุดมไปด้วยแอสตาแซนทิน 40 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นเวลา 4 สัปดาห์ติดต่อกัน โดยไม่พบผลข้างเคียงใดๆ และจากการ ทดสอบ Full Acute & Sub Chronic, Ames Test & Gene Toxicity และการค้น หาเอกสารทางวิชาการทั่วโลกนั้นไม่พบรายงานที่มีผลข้างเคียงในทางลบ และจากข้อมูล มีการนำสาหร่ายทะเลสีแดงสายพันธุ์ Haematococcus Pluvialis ซึ่งมีสารแอสตาแซนธิน (Astaxanthin) อยู่เป็นจำนวนมาก นำมาสกัดเป็นอาหารเสริมและได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในพื้นที่แถบสแกนดิเนเวีย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995 และสารแอสตาแซนธิน (Astaxanthin) มีการวางจำหน่ายอย่างแพร่หลายในตลาดตั้งแต่ปีค.ศ.1999 จนถึงปัจจุบัน
วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2557
ว่าด้วยเรื่องของโปรตีน
จัดหนักโปรตีน แต่ทำไมน้ำหนักไม่ลด? สงสัยคนอย่างเราจะลดน้ำหนักไม่ได้ซะแล้ว!
โปรตีนสำคัญกับร่างกายมากแค่ไหน? ทำไมหลายๆ คนชอบบอกว่าเน้นโปรตีน จัดหนักโปรตีน ลดคาร์บ (ซึ่งคำว่าลดของบางคนนี้แทบจะเรียกว่าไม่ได้กินเลยจะดีกว่า)
การทานอาหารอย่างมีดุลยภาพนั้น คือ การทานคาร์โบไฮเดรตประมาณ 60-65% (เพื่อรักษาระดับไกลโคเจนในกล้ามเนื้อและในตับเอาไว้ไม่ให้พร่อง) โปรตีนจะอยู่ที่ประมาณ 30-35 % ไขมันนั้นพอประมาณ ตรงนี้เป็นพื้นฐาน แต่ปริมาณสัดส่วนแต่ละอย่างจะเพิ่มหรือลดนั้นขึ้นอยู่กับการฝึก
ส่วนที่เหลือก็เป็นพวกผักผลไม้ และนี้คือทางสายกลางในเรื่องอาหารการกิน เพราะถ้าเรากินโปรตีนมากกว่าคาร์บ ง่ายๆ คือ กินแบบขาดความสมดุล นอกจากร่างกายไม่สามารถใช้ “โปรตีน” ให้เป็นประโยชน์ได้หมดแล้ว ยังก่อให้เกิดสารพิษในร่างกายจากการกินโปรตีนมากเกินไปอีก
ง่ายๆ คือ หากฝึกไม่หนักโปรตีนจะอยู่ที่ 0.5 หรือ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัวเท่านั้น
การเน้นโปรตีนมากเกินความจำเป็นในแต่ละมื้อ ส่งผลให้ร่างกายจำเป็นต้องสลายโปรตีนไปเป็นกรดยูริกและกรดยูเรียไปออกทางฉี่ จึงกลายเป็นว่าโปรตีนที่มากเกินไปในแต่ละมื้อกลายเป็นขยะแทน แย่ไปกว่านั้น คือ ยังไปเพิ่มภาระให้แก่ระบบกำจัดของเสียและระบบขับถ่ายในร่างกายอีกด้วย
ผลที่ได้รับ คือ ร่างกายจะเข้าสู้สภาวะขาดน้ำ (dehydration) ค่ะ อีกอย่างหากเราเหลักเลี่ยงคาร์บมากเกินร่างกายก็จะสูญเสียน้ำและไม่กักเก็บน้ำไว้
วิธีที่ถูกต้อง
1. กินอาหารอาหารที่มีไขมัน (ดี) พอสมควรไม่ให้ขาด เพราะการไม่กินไขมันเลยจะทำให้ร่างกายขาดไขมันและวิตามินบางชนิดไป รวมทั้งร่างกายจำเป็นต้องอาศัยไขมันในการสร้างฮอร์โมนประเภทอะเเนบบะลึซึม ซึ่งช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย ฉะนั้นแล้วควรเลือกทานไขมันที่ดีต่อร่างกายทานให้สม่ำเสมอ
1. กินอาหารอาหารที่มีไขมัน (ดี) พอสมควรไม่ให้ขาด เพราะการไม่กินไขมันเลยจะทำให้ร่างกายขาดไขมันและวิตามินบางชนิดไป รวมทั้งร่างกายจำเป็นต้องอาศัยไขมันในการสร้างฮอร์โมนประเภทอะเเนบบะลึซึม ซึ่งช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย ฉะนั้นแล้วควรเลือกทานไขมันที่ดีต่อร่างกายทานให้สม่ำเสมอ
2. โปรตีน ไขมัน และคาร์บ ต่างก็เป็นโภชนาการที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ทว่าให้พลังงานแก่ร่างกายไม่ใช่หน้าที่หลักของโปรตีน เพราะโปรตีนจะมีหน้าที่หลักคือ ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและสร้างสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย โดยปกติแล้วร่างกายเราให้พลังงานที่ได้รับจากโปรตีนเพียงแค่ 3% เท่านั้น ส่วนทีใช้มากที่สุดคือ พลังงานได้จากคาร์บ เพราะในบรรดาพลังงานทั้งหมดที่ร่างกายนำไม่ใช้ในกระบวนการเมแทบบะลิซึม ส่วนมากเป็นพลังงานจากคาร์บถึงประมาณ 60% นั้นเป็นสาเหตุว่าที่น้ำลดคงที่ เพราะระบบการเผาผลาญตกนั่นเอง ส่วนไขมันจะอยู่ช่วง 15-30%
ที่มา : MuscleDom โลกเพาะกาย 5
เรียบเรียงโดย : @Pleng Tanadchang
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)